หมวดหมีจะเล่าประสบการณ์จากการทำงานเป็นตำรวจในเรื่องของยาป้ายให้ฟังว่ามีลักษณะอย่างไร
เรื่องนี้อาจจะยาวหน่อย เพราะหมวดชอบเล่าเรื่อง ถ้าชอบแบบสั้นๆ รอแอดมินจบข่าวเอานะ
พลบค่ำวันหนึ่งในขณะที่หมวดเข้าเวร ได้มีผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หญิงวิ่งโร่หน้าตาตื่นเข้ามาขอแจ้งความ
“ผู้หมวดช่วยหนูด้วย! หนูโดนยาป้ายมา มันเอาทองของหนูไปหมดเลย!”
ผมกระเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้เนื่องจากเป็นคดีที่น่าสนใจและความเสียหายเกิดแก่ประชาชนค่อนข้างมาก
ผมพยายามถามถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผู้เสียหายเธอถึงกับกุมขมับ มีท่าทางลุกลน เดินวนไปวนมา แสดงให้เห็นถึงอาการที่ตกใจเป็นอย่างมาก
ผมถามเธอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เหมือนเธอพยายามนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเธอเริ่มเล่า เธอกลับให้การวกวน จนจับต้นชนปลายไม่ถูก
แต่จับใจความได้ว่า ขณะที่เธอเดินซื้อของที่ตลาด มีคนแปลกหน้าเข้ามาคุยกับเธอ และป้ายยาอะไรบางอย่างใส่เธอ ทำให้เธอต้องเดินตามไปที่ท้ายตลาดในมุมที่ลับตาคน หลังจากนั้นเธอก็โดนปลดสร้อยคอทองคำและแหวนของเธอ รวมน้ำหนักประมาณ 3 บาท ให้คนแปลกหน้านั้นไป
เนื่องจากด้วยนิสัยความเป็นพนักงานสอบสวน ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมจึงถามจี้เธอว่า
“รู้ได้อย่างไรว่าถูกป้ายยา?” ผมถาม
“เขาจับแขนหนู และพาหนูไป หนูก็งงกับตัวเองว่าทำไมถึงยอมเดินตามไปที่ท้ายตลาด หนูก็เลยคิดว่าหนูน่าจะโดนยาป้าย ” เธอตอบ
“แล้วยังรู้สึกตัว เห็น ได้ยิน หรือพูดได้ใช่ไหม?” ผมถาม
“ได้”
“แล้วทำไมถึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือ? เพราะถึงแม้เป็นท้ายตลาด ก็ยังพอที่จะมีคนคอยช่วยเหลืออยู่บ้าง ไม่ถึงกับลับตาคนขนาดนั้น ทำไมละ?” ผมถามจี้
เธอนิ่งเงียบไปซักพัก… ผมอาจจะกดดันเธอเกินไป
“ผมจะให้คุณตั้งสติซักพักนะครับ และเล่าความจริงกับผมมาเถอะ ไม่ต้องกลัว” ผมบอกเธอ และปล่อยให้เธออยู่คนเดียวซักพัก
จนเวลาผ่านไปซักครู่หนึ่ง เธอเดินตรงเข้ามาหาผม
“หมวดคะหนูขอเล่าความจริงกับหมวดคะ”
เธอสารภาพกับผมและเล่าเรื่องให้ฟังว่า เธอเพิ่งกลับมาจากที่ทำงานหลังเลิกงานระหว่างทางกลับบ้านก็ได้แวะซื้อกับข้าวที่ตลาด ปกติเธอมักจะใส่สร้อยคอและแหวนทองคำรวมน้ำหนักแล้วราว 3 บาท
ขณะที่เธอเดินตลาดอยู่เธอก็สังเกตเห็นป้าคนหนึ่งกำลังทำท่าเหมือนหาอะไรสักอย่างที่พื้น และพูดออกมาว่า
“ถุงทองฉันหายไปไหน ๆ”
เมื่อเธอเดินผ่านก็ถูกป้าคนแก่คนนั้นร้องขอให้ช่วยเหลือให้ช่วยหาถุงทองที่หล่นให้หน่อย ถุงนั้นมีสร้อยทองหนัก 5 บาท ใส่อยู่ ช่วยหาให้ป้าหน่อย
ทีแรกเธอก็กลัวว่าป้าจะเป็นมิจฉาชีพ แต่เนื่องจากว่าป้าเองก็เป็นคนแก่ที่แต่งตัวมีภูมิฐานดีและใส่เครื่องประดับที่มีราคา ประกอบกับมีผู้ชายอีกคนมาเข้าร่วมวงสนทนาและออกปากช่วยหาถุงทองที่หายไปให้
เธอบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการค้นหาถุงทองของป้าแกคนนี้ เธอจึงตอบตกลงและออกช่วยกันหา
ผู้ชายคนนั้นเอ่ยปากถามป้าว่า ป้าเดินมาจากไหน? ถุงอาจจะหล่นอยู่ที่ที่ป้าเคยเดิน
ป้าจึงพาเดินไปที่ท้ายตลาดซึ่งเป็นจุดจอดรถ และก็เริ่มช่วยกันหา ก็มีบางคนที่เห็นเหตุการณ์แล้วเข้ามาถามว่าหาอะไรแล้วก็ช่วยกันหาอีกแรง
แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ
ป้าคนนั้นจึงถอดใจและขอบคุณทุกคนที่มาช่วยหา พร้อมกับเดินกลับไปที่รถของเธอ คนอื่นๆ ก็แยกย้าย
แต่ก่อนที่เธอกำลังจะพ้นจากท้ายตลาด ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เข้ามาสะกิดเธอพร้อมกับบอกว่า
“เมื่อกี้หนูหาถุงนี้กันอยู่รึเปล่า เห็นช่วยกันตามหา พี่ได้ยินว่ามันเป็นถุงทอง”
เธอก็ตอบว่าใช่ และบอกให้ผู้หญิงคนนั้นเอาไปคืนป้านั้นซิ
“พี่จำหน้าป้าคนเมื่อกี้ไม่ได้นะ แล้วป้าเขาไปไหนแล้ว?”
เธอจึงบอกว่าป้าคนนั้นกลับบ้านไปแล้ว ชื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
“แล้วแบบนี้จะเอาไปคืนใคร? ชื่อก็ไม่รู้”
เธอก็บอกว่างั้นให้ไปฝากที่ตำรวจซิ เดียวก็อาจจะมีคนติดต่อมา
ผู้หญิงคนนั้นสวนขึ้นมาว่า
“โอ้ย ! เอาไปฝากตำรวจ ก็เหมือนเอาไปให้ตำรวจฟรีๆ นั่นแหละ สู้เรามาแบ่งกันไม่ดีกว่าหรอ ทองตั้ง 5 บาท!”
เธอบอกว่าทีแรกใจหนึ่งเธอก็จะไม่ยอม จะให้เอาไปให้ตำรวจ แต่เธอก็ถูกโน้มน้าว และถูกเซ้าซี้อย่างหนักจนกระทั่งทำให้มีความคิดและจิตใจที่โลภขึ้นมาชั่วขณะ…
เธอตอบตกลง
“แต่ทองเส้นมันแบ่งไม่ได้ทำยังไงดีละ?”
เอาแบบนี้ละกันทองที่น้องมีกี่บาทแบ่งมาให้พี่ แล้วน้องก็เอาทอง 5 บาทไป
แม้ตัวเธอจะมีความเอะใจ แต่อีกใจมันก็อยากได้ทอง เพราะความโลภ เธอจึงปลดสร้อยทอง และแหวนทองที่มี ให้ผู้หญิงคนนั้น เมื่อยื่นหมูยื่นแมวกันเสร็จ ผู้หญิงคนนั้นก็รีบเดินหายไป…
ส่วนตัวเธอเมื่อสิ่งที่มีค่าที่สุดของตัวเองได้ยื่นไปให้คนอื่น จึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่าโดนหลอก ไม่ต้องเปิดถงก็รู้ว่าโดนหลอก แต่จะตามไปหาผู้หญิงคนดังกล่าวก็หาไม่พบ เธอจึงเข้ามาแจ้งความต่อตำรวจ
เธอยอมรับว่าเธอเสียรู้กับกลลวงในครั้งนี้ เสียใจและอายเป็นอย่างมาก อีกใจหนึ่งก็ตกใจเพราะไม่เคยถูกหลอกมาก่อน และราคาของที่ให้ไปก็ไม่ใช่น้อยๆ ตอนที่เข้ามาหา ก็ไม่รู้จะบอกจะเล่าอย่างไร และที่สำคัญที่สุด
คือเธอไม่อยากเล่าให้คนรอบข้างรู้ว่าเธอดูเป็นคนโลภและเสียรู้ให้กับเรื่องง่ายๆ
..ผมถึงบางอ้อ..
แท้จริงแล้ว ยาป้าย ก็คือคำแก้ตัวของคนโลภ ที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองพลาดกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ผมรับฟังและขอบคุณเธอที่ยอมเล่าความจริงทั้งหมด เพราะนอกจากจะเป็นพฤติการณ์ในคดีที่แท้จริงแล้วยังทำให้รู้ว่า มิจฉาชีพเหล่านี้มีวิธีการอย่างไร เพื่อเป็นประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน หลังจากที่เธอพาไปดูที่เกิดเหตุแล้ว ผมก็ให้เธอกลับไปพักผ่อน และนัดมาให้ปากคำในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นเธอมาพร้อมกับญาติของเธอ เธอสวัสดีผมพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“มาพบหมวดเรื่องโดน ยาป้าย เมื่อคืนคะ”
.
.
.
.
*เพิ่มเติม
สำหรับหมวดหมีขอแนะนำว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวให้ทำ 2 ข้อต่อไปนี้
- รวบรวมสติ หลายคนตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อนึกขึ้นได้ ความรู้สึกเหมือนทำเงินหายไปต่อหน้า โดยที่ตนเองตั้งใจ ขอให้ใจเย็นๆ ก่อน พยายามนึกคิดให้ดี และหาพยานที่เห็นเหตุการณ์ เพื่อช่วยในการจดจำใบหน้าคนร้ายหรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
- เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเล่าความจริงให้ฟัง ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นการเสียรู้หรือเสียค่าโง่ เพราะความโลภของตน ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวเป็นกลอุบายที่มีมาช้านานแล้ว โดยคนร้ายจะใช้จิตวิทยาในการโน้มน้าวให้เราทำตาม และการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน ลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย ตามมาตรา 334
โดยคดีแบบนี้สามารถจับกุมได้มาหลายเคสแล้ว ขอเพียงแค่ผู้เสียหาย รวบรวมสติ เล่าความจริง คดีก็จะดำเนินต่อไปได้ครับ 🙂