ลาลาแลน นครดารา
เกริ่นก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังแนวมิวสิเคิล ซึ่งค่อนข้างจะแหวกแนวไปเป็นอย่างมาก หากใครไม่ชอบฟังเพลงหรือเป็นคนที่อ่านซับไทยไม่ทัน อาจจะไม่ชอบก็เป็นได้
แต่เดียวก่อน! ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะดำเนินเรื่องด้วยการร้องเพลง สลับฉากปกติ แต่หนังมีพลังในการสื่อเข้าถึงอารมณ์เป็นอย่างมาก บางฉากไม่มีบทพูดแม้แต่บทเดียว แต่สามารถสื่ออารมณ์ผ่านบทเพลงที่กินใจและเรื่องราวที่กระแทกใจสุด ๆ
เราจะได้อะไรจากการดู ลาลาแลน?
เป็นคำถามแรกที่ผุดเข้ามาในหัวผม เมื่อแฟนชวนไปดูหนังแนวมิวสิเคิลเรื่องนี้ จินตนาการแรกของผมคือ มันคงเหมือนการ์ตูนดิสนี่แลนด์ที่เหล่าตัวละคร ร้องเพลง เต้นไปมา บลา ๆ (ปัญญาอ่อนฉิบ..)
แต่ผิดคาด!
หนังสื่อถึงตัวละครที่มีความฝันและความตั้งใจอย่างแรงกล้า 2 คน โคจรให้มารักกัน และเดินทางทำตามความฝันของตัวเองที่ดำเนินเรื่องไปด้วยความรักและเสียงเพลง
แต่เมื่อหนังดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ มันก็ยิ่งกระแทกใจ และกระแทกชีวิตจริงวัยทำงานที่มีคนรักสุด ๆ โดยเฉพาะฉากที่ พระเอก เซอไพรส์นางเอกด้วยมื้อค่ำเนื่องจากทำงานจนไม่มีเวลาอยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายก็จบลงตรงที่การทะเลาะกันบนโต๊ะอาหาร
“ชีวิตจริงของผู้ชายที่แคร์ผู้หญิงที่เขารัก ผู้ชายจะแสวงหาความมั่นคง เพื่อให้ผู้หญิงมีชีวิตที่ดี และหล่อเลี้ยงครอบครัวได้ในอนาคต “
บทสนทนาที่กระแทกใจผมที่สุดก็คือ
“คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ ที่อยากให้ผมมีหน้าที่การงานที่มั่นคง”
คำพูดนี้หลุดออกมาจากปากพระเอกเพราะพระเอกได้ยินที่นางเอกคุยกับแม่ผ่านทางโทรศัพท์ว่า พระเอกยังมีการงานที่ไม่มั่นคง ทำให้พระเอกตัดสินใจละทิ้งความฝันของตัวเอง เพื่อไปทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ทำได้ดี และทำให้ชีวิตมีความมั่นคง (โคตรเรียล ในชีวิตของใครหลายคน)
แต่สุดท้ายเมื่อผู้ชายมั่นคง เขากลับขาดเวลาที่มีให้ต่อผู้หญิงที่เขารัก
และเธอเริ่มเรียกร้อง…
“จะไปทำงานนานแค่ไหนจนกว่าเราจะได้กลับมาเจอกัน 1 เดือน? 1 ปี ? หรือเป็นแบบนี้ตลอดไป? “
เจอประโยคนี้ของนางเอกเข้าไป ผมแทบอยากจะกราบคนเขียนบทจริง ๆ ว่าทำไมถึงเขียนบทได้ so real ตรงชีวิตกรูมาก ๆ โฮๆ ( T ^T)
ทั้ง ๆ ที่ พระเอกเองก็ทำตามที่นางเอกต้องการแล้ว แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ
“ผู้หญิงส่วนใหญ่ แท้จริงแล้วเพียงต้องการแค่ได้อยู่ใกล้กับคนที่เธอรัก เธอไม่สนหรอกว่าชีวิตมันจะดีร้ายแค่ไหนยังไง”
เมื่อถึงเวลา เธอก็จะพูดว่า “ช่างแม่ง! ช่างหัวความคิดของคนอื่น!” แบบที่พระเอกชอบพูดปลอบนางเอก (ไม่มั่นใจว่า พระเอกใช้คำว่า Whatever หรือคำว่าอะไร แต่ดูแล้วจับใจความแบบภาษาไทยได้เป็นแบบนี้)
เนื้อเรื่องมันค่อนข้างที่จะเข้มข้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่นางเอกกับพระเอกเลิกกัน และมีโทรศัพท์มาหาพระเอกให้ตามนางเอกไปคัดนักแสดง
ผมชอบตรงที่พระเอกบอกนางเอกว่า
“เธอมันเด็กน้อยจริง ๆ”
ถ้าดูผิวเผิน มันอาจจะเหมือนคำพูดชวนกระแซะทั่วไป กับการกระทำที่นางเอกแสดงออกมาในขณะนั้น
แต่ลองนึกในมุมมองของพระเอกดูครับ…
พระเอกละทิ้งความฝันของตัวเขาเอง เพื่อที่จะอยู่ให้ได้ในชีวิตความเป็นจริง แต่นางเอกที่ทำตามความฝันของตัวเธอเองมาโดยตลอด กลับล้มเลิกเมื่อโอกาสที่หามาแทบทั้งชีวิตอยู่ตรงหน้า…
คำว่า “เธอมันเด็กน้อยจริง ๆ” ของพระเอกที่พูดออกมาในตอนนั้น ผมรู้สึกว่ามันมีพลังมากจริง ๆ
ไม่หมดเพียงแค่นั้น ตัวหนังเก็บรายละเอียดได้ดีมาก ๆ ในฉากนี้หากใครสงสัยว่าพระเอกหาบ้านนางเอกเจอได้อย่างไร นั่นก็เพราะว่า ในฉากต้นเรื่องแรก ๆ ที่พระเอกกับนางเอก นางเอกพูดถึงบ้านของเธอเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นหมายความว่าพระเอกตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรก และใส่ใจให้ความสำคัญกับเธอ ถึงแม้ชีวิตช่วงหลัง ๆ จะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกัน แต่พระเอกยังรักและจดจำรายละเอียดทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
“ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะจดจำรายละเอียดของคนที่ตกหลุมรักได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตัวเธอเองไม่สำคัญ เมื่อผู้ชายไม่มีเวลาให้… ถึงแม้ว่าผู้ชายจะยังคงรักเธอก็ตาม”
ตอนจบที่แสนเจ็บปวด
(ไม่อยากอ่านสปอยล์ก็ข้ามไปครับ)
“I still love you”
ผมไม่รู้ว่าคำ ๆ นี้ของผู้หญิงตอนบอกเลิกกันมันมีความหมายของคำว่า Still Love You แบบไหนนะครับ แต่สำหรับผู้ชายที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ มันเป็นเหมือนการปักธงของความหวัง และอาจจะเป็นแรงผลักดันไปสู่เป้าหมายอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ทำชีวิตให้ตัวเองดีขึ้น มีฐานะการเงินที่ดีขึ้น หรือทำตามความฝันให้สำเร็จอย่างจริงจัง ลึก ๆ ก็เพราะว่า
“หากสักวันหนึ่ง ได้กลับมารักกัน ชีวิตมันคงจะดีขึ้นกว่าตอนที่เคยรักกัน”
ฉากย้อนเรื่องราวของตอนจบเป็นอะไรที่ชวนน่าคิดมาก ๆ ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ฉากนี้เป็นฉากที่ผมชอบมาก ถึงแม้มันจะไม่มีบทพูดเลยก็ตาม แต่การแสดงมันสื่อถึงเรื่องราวของวันเก่า ๆ ที่พระเอกสื่อออกมาจากบทเพลงและความคิดของตัวเอง ในคอนเซปต์ของคำว่า
“ถ้าหากวันนั้น”
เราลองมาคิดดูครับว่า หลายครั้งในชีวิตของคนเรา พอเรานึกย้อนไป ถ้าหากวันนั้น ฉันทำแบบนั้น มันอาจจะเป็นการเติมเต็มชีวิตคู่ หรือเป้าหมายของการมีชีวิตที่ได้อยู่กับคนรักหรือสิ่งที่ตัวเองรักอย่างจริงจัง ชีวิตมันอาจจะเดินไปในอีกทางหนึ่ง เป็นรูปแบบใหม่ ที่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จที่สุด อาจจะไม่รวยที่สุด อาจจะไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
…แต่เป็นทางเลือกที่มีความสุขที่สุด…
ถามใจตัวเองดูครับ ว่าทุกวันนี้เราเดินตามหาความสุขในชีวิต หรือเราเดินตามหาอะไร?
ขอบคุณมากครับ แต่มันย้อนไปไม่ได้แล้วนี่สิ 🙂 ก็คงได้แค่ยิ้มแล้วเดินหน้าต่อไป
ถูกใจถูกใจ
สุดยอดเลยครับคิด ผมเองก็คิดแบบนี้
ถูกใจถูกใจ