ครั้งแรกที่ผมรู้จัก Forex ก็ตอนเป็นนักเรียน ตอนนั้นมันบูมเพราะได้ข่าวว่ามีเพื่อนคนหนึ่ง ทำกำไรจากตลาด Forex วันเดียวเป็นแสน! หลาย ๆ คนก็เลยเริ่มสนใจและเริ่มที่จะเข้าเทรดเพื่อหวังจะได้เงินแสนกับเขาบ้าง
แต่ผมมารู้ตอนหลังจากเพื่อนว่ามันฟลุ๊คแค่วันนั้นวันเดียวที่มันถูกทาง หลังจากนั้นมันโดนตลาดเอาคืนหมดเลย…
จากข่าวดังในวันนั้นทำให้การตื่นทอง ในตลาด Forex ขยายไปทั้งรุ่น แต่ส่วนตัวผมไม่ชอบลงทุนอะไรที่ไม่เคยศึกษามาก่อน ก็เลยลองถามเพื่อนที่เทรดอยู่ว่า ถ้าอยากลงทุนในตลาด Forex ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ?
เพื่อนตอบว่าไปลองอ่านหนังสือ Price Action มาก่อน แล้วจะรู้ว่าราคาจะไปทางไหน
ผมจำได้ว่าผมซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือสอนการเทรดและสอน Price Action ด้วยการที่ไม่เคยลงสนามจริง ไม่เคยเห็นกระดานหุ้น เคยเห็นแต่กราฟมาบ้าง ทำให้ผมมโนไปเองว่า การท่องรูปแบบ Price Action จะทำงานเหมือนการท่องสูตรตรีโกณมิติ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้วแสดงว่า ราคาต้องไปทางนั้นทางนี้ ตามที่แท่งเทียนนั้น ๆ บอก
แต่เอาจริง ๆ นะ…
แม่งไม่เข้าใจเลยอะ 555+ และไม่ได้ใกล้เคียงกับการมีความรู้เลยด้วยซ้ำ
เหมือนเราอ่านบทสรุปเกม โดยที่ไม่เคยได้เล่นเกมจริง ๆ เราเลยไม่รู้ความรู้สึกของการได้ลงทุนจริงมันเป็นยังไง
แต่ตอนนั้นรู้สึกสนุกกับการขายของมากกว่า จึงยังไม่เลือกที่จะลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงทั้งหุ้น และ Forex
หลังจากนั้นตอนเรียนจบใหม่ ๆ ตอนเงินเดือนเริ่มเข้า ก็พอมีเงินเก็บอยู่ส่วนหนึ่ง ทีแรกสนใจที่จะเอาไปลงตลาดหุ้น เพราะรู้ว่าตลาด Forex มีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้น และหากเสียก็เสียหมดหน้าตัก
แต่เพื่อนรักของผมก็ชักชวนให้เข้ามาเทรด Forex จนได้
ผมเปิดบัญชีโดยไม่รู้แม้กระทั่ง Leverage คืออะไร
ต้องออกออเดอร์เท่าไหร่ จึงจะเหมาะสมกับขนาดของพอร์ท
ผมลงทุนไป 10,000 บาทถ้วน
ซึ่งอย่าเรียกว่าลงทุนเลย…
ให้เรียกว่าเอาเงินไปปาทิ้งเสียยังดีกว่า
เพราะด้วยความไม่รู้ Leverage และขนาด Lot ที่เหมาะสม
ไม่เคยแม้แต่จะทดลองเทรดกับ Demo เพราะคิดว่าซื้อตามเพื่อนแล้วจะง่าย ๆ ( Easy Money )
ผมจำได้เลยว่ากดออเดอร์เดียว ออเดอร์นั้นอยู่ไม่ถึง 1 ชม.
“เงินผมหมดพอร์ทในทันที “
ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมออกออเดอร์อะไรไป และทำไม่ถึงออก มีเหตุผลอะไร
แต่กดไปเพียงเพราะว่า
“มันก็มีแค่ BUY กับ SELL”
ผมออกออเดอร์โดยที่ไม่รู้เลยว่าหายนะกำลังมาเยือน
ผมนั่งมองกราฟติดลบจนกระทั่งไม่เหลืออะไร
ความรู้สึกคือ หวิวและชาไปทั้งตัว ซึ่งเป็นอาการปกติของคนล้างพอร์ท…
แต่การล้างพอร์ทครั้งนั้น ผมไม่ได้อะไรเลย
ไม่ได้แม้กระทั่งความรู้ ไม่ได้แม้กระทั่งการใช้แอพพลิเคชั่น MT4
เป็นเงิน 10,000 บาท ที่โคตรไม่มีความหมาย
ผมหันหลังให้กับตลาด Forex ไป 5 ปีเต็ม ๆ เพราะความโง่ของตัวเองล้วน ๆ
แต่แล้วผมก็กลับมาอีกครั้งด้วยเพราะความอยากรู้อยากเห็น จากเพื่อนที่เล่าให้ฟังว่า รุ่นพี่ท่านหนึ่ง แกเทรดทอง จนรวย เงินเดือนแทบไม่มีความหมายสำหรับแก
ซึ่งรุ่นพี่ท่านนั้นก็อยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี จนใคร ๆ ก็ต้องอิจฉาเลยแหละ…
แต่พี่เขากำลังลาออก…
ออกไปทำอะไรวะ!?
“ออกไปรดน้ำต้นไม้ที่บ้านแล้วก็เทรดทองไปวัน ๆ “
ผมฟังแล้วแบบ เห้ย! ชีวิตในฝันวะ 555+
ถ้าการทำงานเป้าหมายของเราคือ ความมั่นคง และดูแลครอบครัวได้
ถ้าเราทำงานจนมั่นคงและดูแลครอบครัวได้แล้ว
“เราจะทำงานไปทำไมวะ???”
(พี่แม่งคือ ไอดอลสำหรับผมอะ 555+)
ผมเริ่มกลับมาศึกษาตลาดหุ้น และตลาด Forex อีกครั้ง
แต่คราวนี้ไม่รู้อะไร จะถามก่อนเสมอ โดยเฉพาะการออกออเดอร์ในแต่ละครั้ง
โชคดีที่ครั้งนี้ ไม่เหมือน 5 ปีก่อน ครั้งนี้ผมมีอาจารย์จาก Youtube และ Facebook เต็มไปหมด
ผมเริ่มสนุกกับการฟังบทวิเคราะห์จากนักกลยุทธ์ต่าง ๆ ซึ่งมันได้ความรู้มากในตลาดหุ้นพอสมควร
เพียงแค่ฟัง วิเคราะห์ และทำตามแผนที่วิเคราะห์ไว้ ยังไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องของ เทรนด์กราฟ ก็ได้ แต่ถ้าวิเคราะห์ว่า หุ้นตัวนั้น ตัวนี้ กำลังทำอะไร มีข่าวอะไรที่จะกระทบต่อราคา ก็ทำให้เราสามารถตัดสินใจที่จะออกออเดอร์ได้ (ในระดับหนึ่ง)
ส่วน Forex คราวนี้ผมกด Demo และไม่พลาดโง่ ๆ เหมือนครั้งก่อน
แต่จากการศึกษาตลาดหุ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจที่จะกระโดดเข้าไปศึกษาใน XAU/USD หรือทองคำ
ส่วนหนึ่งก็คืออยากวิเคราะห์ได้แบบพี่เขา อยากเก่งแบบเขา และยังพอที่จะเป็นพี่ที่รู้จักของเพื่อนที่สามารถสอบถามได้
และอีกส่วนหนึ่งคือ “กราฟทองเกิด แพทเทิร์นไวมาก ๆ”
ทำให้การศึกษา Price Action ทำได้ดีกว่าตลาดหุ้นที่หุ้นบางตัวกว่าจะเกิดแพทเทินที่น่าสนใจ อาจจะเป็นเดือน เป็นปี แต่ทองใช้เวลาไม่นาน เผลอ ๆ ในวันนึง เกิดหลายแพทเทิน ให้วิเคราะห์ ก็เป็นเรื่องปกติ
(แต่จริง ๆ แล้ว มือใหม่ควรเริ่มจากค่าเงินก่อน เพราะทองนั้นมีความผันผวนสูงมากกว่าค่าเงิน)
พอเล่น Demo สักอาทิตย์นึง ก็รู้สึกมั่นใจ เพราะพอร์ทฟ้า (กำไร)
ซึ่งมันจะไม่ฟ้าได้ไงก็เงินในพอร์ทมีเป็นล้าน (Demo) แถมไม่มีค่า Spread จากโบรคเกอร์อีกต่างหาก
ทำให้จิตวิทยาในการลงทุนไม่ได้มีอะไรมาก ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดทุน ไม่ต้องคำนวณเผื่อ Spread
พอร์ทฟ้าก็ขาย พอร์ทแดงก็รอได้ เพราะไม่ใช่เงินจริง
เมื่อการเทรดพอร์ท Demo มันดูไม่มีแรงจูงใจ
ผมจึงตัดสินใจลงเงินจริง เปิดพอร์ทพร้อมกับเพื่อน ได้เงินโบนัสฟรีมา 30$ เอามาเทรดเล่น ๆ ก่อนวันแรก
มาถึงก็เอาเลย ทำตามบทวิเคราะห์ของพี่เขาว่า มันลงแน่ ก็เลยกด Sell
ปรากฎคืนแรก กำไร 30$ ทันที (วิ่งไปประมาณ 3000 จุดน่าจะได้ ถ้าจำไม่ผิด)
แต่เรื่องโง่ ๆ สำหรับมือใหม่ที่เกิดขึ้นกับทุกคนคือ
“กำไรแล้วทำไมมึงไม่ปิด!”
มือใหม่จะชอบคิดว่า เดียวมันต้องไปต่ออีก ต้องลงอีก เพราะมาถูกทางแล้ว เพราะทำตามบทวิเคราะห์แล้ว นี่ก็มาได้ตั้งครึ่งทางของบทวิเคราะห์
แต่ตอนนั้นคือเราไม่รู้ไง ว่าบทวิเคราะห์ของเขา อาจใช้เวลาหลายวันในการไปถึง…
เพราะกราฟไม่ได้ลงมาเป็นเส้นตรง มันมีขึ้น มีลง และบางทีพอร์ทเรากับพอร์ทเขา มันรับความเสี่ยงไม่ได้เท่ากัน เขาอาจจะโดนลากได้เป็นหมื่น เป็นแสน แต่พอร์ทของเรา แค่ไม่ถึงพันก็เกือบจะโดน Stop out แล้ว…
ตื่นเช้าอีกวัน พี่เขาก็ยัง งง ว่า เอ้า พวกมึงไม่ได้กำไรกันหรอกหรอเมื่อคืน
มาคิดย้อนไปตอนนี้ก็คงพูดแบบเดียวกับพี่เขาเลย 555+
ดังนั้นหนึ่งในบทเรียนของการเทรด และการแชร์เทรดไอเดีย คือ ให้ปรับตามแผนของพอร์ทเรา
อย่าไปเชื่อจนสุดโต่ง ว่ากราฟต้องไปตามนั้นตามนี้
(ทุกวันนี้ผมยังต้องมีแผนในการเข้า ออกออเดอร์ ไม่ว่ามันจะออกมาหน้าไหนก็ตามเลย)
ฟังได้ เชื่อได้ แต่ต้องมาปรับให้เข้ากับสไตล์การเทรดของเราด้วย
เพราะหลายครั้งบทวิเคราะห์กับหน้างาน มันต่างกันโดยสิ้นเชิง…
เทรดไปสักพัก พอเริ่มทำกำไรในพอร์ทได้ ดันไม่ยอมถอนโบนัสฟรี
สิ่งแรกที่ควรทำของมือใหม่เลยก็คือ ถอนกำไรจากโบนัสซะ! ไม่ต้องเอาไปเทรดต่อหรอก กำเงินของคุณไว้ก่อน สูดดมความสำเร็จของคุณให้ชื่นใจ แล้วใส่มันเข้าไปใหม่ในพอร์ทก็ยังไม่สาย
เพราะเมื่อเราเทรดชนะตลาดบ่อย ๆ โดยเฉพาะมือใหม่ มันจะเกิดอาการเหลิง
คิดว่า Forex คือ Easy Money และคุณก็จะอยากเปิด Lot ที่เพิ่มขึ้น
สุดท้ายพอร์ทคุณก็จะพัง…
ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่โคตรคลาสสิค ซึ่งเกิดกับผมเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่พอร์ทมันเริ่มใหญ่ขึ้น เพราะพอพอร์ทใหญ่ขึ้น เราก็คิดว่าเรารับความเสี่ยงได้มากขึ้น ซึ่งมันก็ใช่นั้นแหละ แต่สังเกตดูเอาเถอะว่าคุณจะทวีคูณ Lot ของคุณ ทั้ง ๆ ที่พอร์ทของคุณ มันไม่ได้ใหญ่กว่าเดิม พอที่จะรับความเสี่ยงได้ขนาดนั้น
หลังจากการเทรดไปสักพัก แน่นอนว่านักรบย่อมมีบาดแผล ผมทำพอร์ทแตกไปอีกครั้ง แม้เงินจะไม่มากอะไร แต่ความเจ็บใจที่ต้องเห็นกราฟมันวนกลับจนไปถูกทางที่เราวิเคราะห์ เลยทำให้ฉุกคิดเรื่องโง่ ๆ ขึ้นมาว่า
“ถ้าเงินในพอร์ทเรามากกว่านี้ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น!”
เติมซิครับ จะรออะไรอะ เติมให้มันมากกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาเราทำกำไรมาได้โดยตลอด ถ้าเราลงเพิ่ม สมการง่าย ๆ เด็ก ๆ ยังคิดได้ว่ากำไรมันก็ต้องมากกว่าเดิมซิวะ!
ผิดทางก็แค่เฮดจิ้ง (การเปิดออเดอร์สวนทับกับออเดอร์เดิม) มีกำไรถึงจุดกลับตัวก็ค่อยปลดไม้ที่กำไร แค่นี้เอง ง่าย ๆ Easy Money
ปรากฎ…
เฮดจิ้งกันขี้แตกขี้แตน ออเดอร์ออกมั่วมาก ๆ ต้องภาวนาให้ไม้ที่ปลดคือ จุดกลับตัวสำคัญจริง ๆ แล้วที่สำคัญคือ สุขภาพร่างกายเสีย เพราะต้องเฝ้ากราฟตลอด กลัวพอร์ทจะแตก
ซึ่งสุดท้าย พอร์ทมันก็แตก…
แต่คราวนี้ดีหน่อย พอร์ทนี้อยู่ได้เป็นเดือน ๆ และจากการที่ต้องเฮดจิ้งบ่อย ทำให้สังเกตจุดเข้า จุดออกได้คมขึ้น (ไม่คมได้ไง ออกผิดพอร์ทแตก)
กลับมาใจหวิว ๆ เพราะพอร์ทแตก อยู่แปปนึง กลับไปทบทวนตัวเอง 2-3 วัน และก็คิดได้ว่า
“มากกว่าเงินในพอร์ท คือการ Money Management”
ผมเติมเงินเข้าไปใหม่ 800 บาท
แต่ 800 บาทคราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ครั้งนี้ผมมีความรู้ที่มากกว่าเดิม
จาก 800 บาท เป็น 40,000 บาท ในเวลาประมาณ 3 เดือน
ผมเริ่มจาก Lot น้อย ๆ จนเงินมันก้อนโตเป็น Snowball ไปเรื่อย ๆ
จริง ๆ จาก 800 เป็น 40,000 บาท มันไม่ได้เยอะอะไร
ผมเคยเห็นคนในกลุ่มเทรด จาก 200 บาท เป็น 2 ล้าน และใช้เวลาที่น้อยกว่าผมด้วย !
ระหว่างนี้ไม่ใช่ว่าผมจะไม่พลาดเลย
ความผิดซ้ำ ๆ เดิม ๆ ยังคอยออกมาอยู่เรื่อย ๆ เกือบพอร์ทแตกก็หลายครั้ง
และผมยังถือคติ เฮดจิ้ง อยู่ ซึ่งผมจะใช้เฮดจิ้งก็ต่อเมื่อ ออกออเดอร์ผิดทางแต่ราคายังอยู่ในเทรนด์ และรีบเฮดจิ้งเมื่อรู้ว่าวิ่งไปผิดทาง ไม่ไปเฮดจิ้งใกล้พอร์ทแตก เพราะต้องมีที่ว่างไว้ให้หายใจด้วย
แต่ด้วยความนิสัยเสียที่เป็นคนไม่ชอบตั้ง Stop Loss เพราะคิดว่าในหัวมีแผนอยู่เสมอ และพร้อมจะออกออเดอร์แก้
ปรากฎ นอนฟาร์ม เจ้าเดิม พาผมไปนอนวัด ด้วยเหตุเพราะวันนั้นดวงซวยสุด ๆ มีปัญหากับสายชาร์จมือถือ และคิดเข้าข้างตัวเองว่า พอร์ทรับไหว ไม่น่าแตก และซวยเด้งที่ สาม คือ ผมลบออเดอร์เฮดจิ้งออกไป เนื่องจากกราฟมีการขยับราคาแนวรับ
พอร์ทผมที่รับการสวิงของราคาทองได้ 6,000 จุด เมื่อออกออเดอร์ ซึ่งนั่นก็ถือว่าเยอะพอสมควรแล้ว แต่วันนั้นวันเดียว ลากผมไป 7,000 จุด และลากต่อในวันถัดมาที่ทำเปิดทำการเทรดอีก รวมเป็นประมาณ 12,500 จุด ซึ่งหลาย ๆ ท่านที่ไม่ตั้ง Stop Loss เอาไว้ ก็แตกในวันนั้น
โชคยังดีที่ผมกำไรแล้วถอนออกกินใช้ไปแล้วหลายส่วน ไม่งั้นคงจะเฟลไปมากกว่านี้
ผมหยุดพักผ่อนไปประมาณ 2 อาทิตย์ โดยในระหว่างนั้น เทรด Demo กับกองทุน 5%er เพื่อเป็นการสอบไปพลาง ๆ
การเทรดกับกองทุนทำให้ผมมีวินัยมากขึ้น เพราะต้องตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง และการออกออเดอร์ห้ามมั่วโดยเด็ดขาด! เพราะคุณขาดทุนเกิน 5% ของพอร์ท คุณสอบตกทันที! และต้องทำให้ได้ 10% ของพอร์ทจึงจะสอบผ่าน !! (เหมือนจะง่าย แต่พอร์ทมันใหญ่ ออก Lot ได้จำกัด)
ความกดดันในการกลัวถูก Stop Out ทำให้เราเป็นคนที่รอได้
รอราคาได้ ไม่รีบออกออเดอร์
ราคาไม่ชัวร์ปิด กำไรจนพอใจแล้วก็ปิด
การเทรดกับกองทุนมันทำให้ตระหนักได้ว่า
“ราคามันก็วิ่งไปของมันทุกวันนั่นแหละ ไม่ต้องรีบออกออเดอร์”
ทุกวันนี้ถ้าไม่มีไดเวอเจนปรากฎให้เห็น ในแนวรับสำคัญ ผมจะไม่ออกออเดอร์เลย
“ผมไม่กลัวที่จะตกรถ แต่ผมกลัวที่จะติดดอย กับติดเหวมากกว่า”
ทุกวันนี้กิจกรรมของผมคือ
ตื่นเช้ามาฟังบทวิเคราะห์ เปิดกราฟหาแพทเทิน ดูแนวรับแนวต้าน แล้วออกออเดอร์ล่วงหน้าเอาไว้ – ปิดจอ – ไปทำงาน กลับมาดูกราฟ เรื่อย ๆ เมื่อว่าง ออกกำลังกายตอนเย็น พอ 19.30 – 21.00 น. ที่เป็นช่วงตลาดคึกคักค่อยมาให้ความสนใจมันจริงจัง
มีเวลาว่างก็อ่านบทความ บทวิเคราะห์ หาความรู้ใส่หัว พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ทำ Back Test อาทิตย์ละครั้ง
ที่จะสื่อคือ คุณไม่ต้องไปเฝ้ากราฟมัน 24 ชั่วโมงหรอก คุณมีแผน คุณทำตามแผน แล้วออกไปใช้ชีวิตซะ
แบ่งเวลาและให้ความสำคัญในช่วงที่ ตลาดมันคึกคักก็พอ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ และผมจะเริ่มแชร์เทรดไอเดีย เรื่อย ๆ ในบล็อก คอยติดตามกันได้นะครับ