นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เขียนรีวิวโดยเฉพาะอนิเมะที่ไม่เคยเขียนรีวิวมาก่อนเลย แต่ Deca-Dence ที่ฉายทาง Netflix ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเขียนถึงมัน เพราะนี่มันคือ อนิเมะปรัชญาทางการเมือง การต่อสู้เพื่อเจตจำนงค์อิสระ! (Freewill)

Deca Dence เริ่มเรื่องมา ดูจะเป็นอนิเมะทั่ว ๆ ไป คร่าว ๆ ก็คือ โลกล่มสลาย เพราะอากาศเป็นพิษ ทำให้เผ่าพันธ์มนุษย์เหลือรอดไม่ถึง 10% บนโลก และการเกิดพิษดังกล่าว ทำให้เกิดมอนสเตอร์ (กาดอล) ขึ้นมา ซึ่งมนุษย์ในยุคนี้ ต้องอาศัยยานรบเคลื่อนที่ หรือ Deca-Dence เพื่อใช้ในการอยู่อาศัย (คอนเซปต์คล้าย ๆ กับหนังหลาย ๆ เรื่อง) ตัวเอกมีปม พ่อตายเพราะมอนสเตอร์ ( กาดอล) ต้องการเก่งขึ้นเพื่อจะได้เข้าหน่วยต่อสู้
ต่อไปนี้อาจจะมีการสปอยล์เนื้อหานะครับ
ตอนผมเปิดดูตอนแรก ถ้าไม่ติดว่าลายเส้นสวย คือแทบจะเปลี่ยนเรื่องดูเลย เพราะคอนเซปต์มันดันคล้าย ๆ กับเรื่องอื่น ๆ อย่างเช่น Immotal Engine ที่คนต้องอาศัยและใช้ชีวิตอยู่บนยานรบขนาดใหญ่
แต่พอดูไปเรื่อย ๆ เห้ย ! ไม่ใช่วะ
อนิเมะมันชวนเราเอะใจตั้งแต่แรก ทั้งเรื่องการที่มนุษย์ถูกปลูกฝังอย่างเป็นระบบ (ล้างสมอง) ตั้งแต่ในชั้นเรียนว่าพวกเขาคือ Tanker ซึ่งมีหน้าที่หลักเป็นตัวล่อ ตัวชน ตัวซัพพอร์ท ส่วนหน้าที่จัดการกับกาดอล จริง ๆ คือ เผ่าเกียร์ ที่มีความสามารถกว่ามนุษย์ (ดูถึงแค่นี้ก็น่าจะเอะใจได้แล้วเพราะ เผ่าเกียร์ แต่ละคนสีผิวมันไม่ใช่มนุษย์!)
อนิเมะจะค่อย ๆ คลี่คลายปมไปเรื่อย ๆ จนพบว่าความลับในเรื่องมันกลับตาลปัตรจากที่เราเข้าใจในตอนแรกไปเลย! เรียกได้ว่าโคตรฉีก
เพราะแท้จริงแล้ว Deca-Dence มันเป็นเพียงแค่สถานที่ซึ่ง บริษัท สร้างขึ้นเพื่อให้มาเป็นความบันเทิงของพวกเกียร์ เผ่าพันธ์หุ่นยนต์ที่มีความนึกคิด มีความเจ็บปวด มีสัมผัสทั้ง 5 เหมือนมนุษย์
มันคือ ตลกร้าย !
อนิเมะ จะสะท้อนให้เห็นความตลกร้ายของโลก Deca-Dence ในขณะที่ เผ่าพันธ์มนุษย์ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตรอดใน Deca-Dence แต่เรื่องดังกล่าวกลับเป็นเพียงแค่ความบันเทิงของเผ่าเกียร์ที่สร้างที่แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อหาความสนุกสำราญ
ความตลกร้ายถ่ายทอดผ่านตัวเอกอย่าง นัตซึเมะ ที่ตัวเธอเองมีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้า เพื่อต้องการให้โลกสงบสุข ผ่านคำหลอกลวงของพวกเกียร์ ที่ไม่ได้สนใจใยดีว่าเผ่าพันธ์มนุษย์จะเป็นอย่างไร และสร้าง Event หลอกลวงเผ่ามนุษย์ว่าครั้งนี้คือการต่อสู้ครั้งสุดท้าย (ซึ่งมันครั้งสุดท้ายมาหลายครั้งละ)

นัตซึเมะ ต้องต่อสู้ดิ้นรน ผ่านความยากลำบากและคำสบประมาทมามากมาย เพื่อที่จะได้อยู่หน่วยต่อสู้ เราจะเห็นความยากลำบากของตัวละครผ่านการเล่าเรื่อง
และเราก็จะมาฉุกคิดได้ว่า สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ “มันไร้ความหมาย!”
คาบุรากิ หัวหน้าหน่วยของนัตซึเมะ ที่แท้จริงแล้วคือเผ่าพันธ์เกียร์ที่แฝงตัวอยู่ในเผ่าพันธ์มนุษย์ ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจหา “บัค” ในเผ่าพันธ์เกียร์และเผ่าพันธ์มนุษย์ ใครที่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องถูกกำจัด
เรียกได้ว่า คอมมิวนิสต์ดี ๆ นี่แหละ ให้อยู่ในกรอบ ห้ามรู้ความจริง ใครหลุดจากนี้คือ ตาย!
แน่นอนว่าเราจะรู้สึกแปลกที่ว่า ทำไมหุ่นยนต์ถึงคิดนอกกรอบและพยายามหาเจตจำนงค์อิสระ และไม่ได้มีเพียงแค่ตัวสองตัวเท่านั้น ที่เป็นบัคของระบบแบบนี้ เพราะอนิเมะพยายามสะท้อนให้เราเห็นว่า เมื่อไหร่ที่โลกนี้มีสิ่งที่สามารถนึกคิดเองได้ สิ่งเหล่านั้นย่อมมีทางเลือกอันอิสระที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎที่ตั้งขึ้น
เราจะเห็นได้ว่า แม้แต่ตัวคาบุรากิเอง ก็เป็นบัคตั้งแต่ต้น เพราะไม่ปฏิบัติตามกฎ แอบเลี้ยง กาดอล เอาไว้ในห้อง
และเราจะได้เห็นความต้องการมีเจตจำนงค์อิสระที่มากขึ้น จากคาบุรากิ ที่ถูกกระตุ้นจากความมุ่งมั่นในการกอบกู้โลกของนัตซึเมะ
คาบุรากิ เหมือนเชื้อไฟที่ส่งต่อความคิดเจตจำนงค์อิสระไปยังเกียร์ตัวอื่น ๆ เพราะในใจทุกคนได้แต่คิด แต่ คาบุรากิ คือคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ยืนหยัดในความคิดของตนเอง
แต่ความตลกร้ายยังไม่หมดเพียงเท่านี้
แน่นอนว่าก็มีทั้ง มนุษย์ ที่ไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะคิดว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว
กับพวกเกียร์ ที่คิดว่า ระบบมันก็ดีอยู่แล้ว จะบ้าไปขัดขืนกับระบบทำไม เพราะระบบมีพลังมากพอที่จะกำจัดพวกบัคต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว และตัวเองก็ยังคงได้รับประโยชน์อยู่
คือมาถึงช็อตนี้ เรียกได้ว่า อนิเมะ มันโคตรเรียล และค่อนข้างสะท้อนสังคมเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการเมือง แต่ในเรื่องของสังคมที่เราต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง อย่างเช่นระบบวัฒนธรรมที่ทำงาน
มันก็จะมีคนจำพวกหนึ่งที่ไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะคิดว่าทุกวันนี้มันก็โอเคแล้ว กับพวกที่คิดว่า ทำไปก็เจ็บตัว เสียผลประโยชน์ที่เคยมีเปล่า ๆ
เพราะถ้าดูมาถึงจุดนี้เราจะรับรู้ได้ว่า เผ่าพันธ์เกียร์ ก็เปรียบเทียบได้กับพวกได้รับสิทธิพิเศษในสังคมนี่แหละ ไม่ต้องแยแสอะไร ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว พวกเกียร์ก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อนเหมือนกัน (แต่เรื่องเป็นมนุษย์มาก่อนค่อนข้างคลุมเครือ แต่ผมดูและเก็บรายละเอียดมาได้ว่าอย่างนั้น)
สิ่งที่กินใจอีกจุดคือ ตอนที่ นัตซึเมะ ได้รู้ความจริงทุกอย่าง (เบิกเนตร) ทำเอาเธอช็อค เพราะความมุ่งมั่นที่เคยมีมามันคือความสูญเปล่า
จนเธอถึงขั้นอุทานว่าไม่รับรู้เสียดีกว่า เพราะเธอเสียใจกับความตั้งใจที่เคยมีมาทั้งหมด
แต่สุดท้ายเธอก็ยอมรับความจริงของโลกนี้ได้ โดยยอมรับมันและเห็นพวกเกียร์คือมนุษย์เหมือนเธอ โดยไม่ได้มีความรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างในเผ่าพันธ์
ถึงแม้ว่าบทสรุปท้ายสุดจะเฉลยว่า แท้จริงแล้วการมีอยู่ของบัค ถูกคำนวณเอาไว้อยู่แล้ว แต่มีเพื่ออัปเกรดเวอร์ชั่นของระบบให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในจุดนี้มันค่อนข้างที่จะบอกกับผู้ชมอยู่แล้วว่า แท้จริงแล้ว ระบบรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถจำกัดความคิดและเจตจำนงค์อิสระได้ แต่เพียงต้องควบคุม เพื่อให้ระบบมันศึกษาและพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ควรจะเป็น “เพราะไม่มีสิ่งใดมาจำกัดความคิดอันเป็นอิสระได้” และก็จบไปแบบโลกสวยพอสมควร ซึ่งถ้ามาเทียบกับชีวิตจริงก็คงต้องบอกว่าจบสวย ๆ แบบในอนิเมะมันค่อนข้างจะยาก ถ้าระบบไม่ยอมปรับตัวเอง
สรุป
ทีแรกผมก็คิดแบบทุกคนว่าการเข้ามาดู Deca-Dance จะได้เห็นแอคชั่นมันส์ ๆ แต่จริง ๆ แล้วแทบจะตัดออกไปได้เลย เพราะนี่มันคือหนังที่สะท้อนถึงสังคมการปกครอง และการที่ต้องการให้ตนเองสามารถทำตามเจตจำนงค์อิสระของตนได้ ถ้าดูแบบไม่อินการเมืองอะไรก็ดูได้ แต่ว่าเราจะรู้สึกได้เองถึงสิ่งที่อนิเมะพยายามจะสื่อ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ซับซ้อนการเมืองจ๋าแบบ Attack on Titan แต่มันจะทำให้เรา เอะใจได้ตลอดว่าตัวละครต่าง ๆ ในขณะนั้นจะรู้สึกยังไง จะคิดยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนตัวผมให้ 8/10 เพราะจังหวะแอคชั่นก็ไม่ได้มันส์อะไรมาก สิ่งที่ดีจริง ๆ คือเนื้อเรื่องที่สะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่าง กับลายเส้นที่สบายตามาก ๆ เรียกได้ว่าดูรวดเดียวจบยังได้ ซึ่งการ์ตูนแนวนี้ ถ้าคนไม่ชอบก็น่าจะไม่ชอบเลย เพราะมันจะมีหลายจุดที่รู้สึกอึดอัดไปกับความรู้สึกของตัวละครที่ต้องพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ แต่ในความอึดอัดมันก็มีความง่ายของโครงเรื่องที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง เพราะมันชัดเจนอยู่แล้วว่าใครเป็นตัวร้าย ตัวเอก และเดาได้เลยว่าจะจบยังไง แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายที่คนดูจะได้รับ ก็คือปรัชญาการเมืองที่โดนใจคนยุคปัจจุบันไม่มากก็น้อยครับ.