รีวิว เครื่องฟอกอากาศ Philips รุ่น AC3854 สุขภาพที่วัดค่าได้เพื่อคนในครอบครัว

PM 2.5 เรื่องใกล้ตัวที่มองไม่เห็น ช่วงนี้แม้ว่าข่าวเรื่อง PM 2.5 จะซา ๆ ลงไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะหายไป เดียวพอหลังพายุผ่านไป PM 2.5 มาเยือนแน่ ๆ ตามวัฎจักร

ตอนผมเลี้ยงลูกอยู่ที่พะเยา ก็ประสบปัญหาเรื่อง PM 2.5 ไปเต็ม ๆ บางวันก็รู้สึกได้เลยว่าไม่ใช่หมอกแน่ ๆ แม้แต่เรายังอีดอัด แล้วลูกซึ่งระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ในร่างกายยังไม่ดีพอ จะเป็นเช่นไร คงไม่อยากจะนึก

วันนี้เลยขอแนะนำเครื่องฟอกอากาศของยี่ห้อ Philips รุ่น Air Purifier Connected AC3854 ซึ่งเหมาะกับห้องขนาดกลาง ไป ถึงขนาดใหญ่ เนื่องจากตามข้อแนะนำ รุ่นนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในห้องขนาดไม่เกิน 130 ตร.ม.

เจ้าเครื่องฟอกอากาศตัวนี้มีค่า CADR สูงถึง 500 m3/hr ซึ่งค่า CADR คือ อัตราความเร็วในการกำจัดสิ่งปนเปื้อนที่ถูกดูดผ่านเครื่องฟอกอากาศ หรือเรียกเต็มๆ ว่า The Clean Air Delivery Rate

ค่า CADR ยิ่งมีค่าสูงย่อมหมายถึงสามารถทำความสะอาดได้เร็วยิ่งขึ้น เวลาเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศจึงสามารถดูค่านี้เพื่อเปรียบเทียบได้

และจากผลการทดสอบของ Philips เครื่องฟอกอากาศตัวนี้สามารถกรองอากาศสะอาดได้ภายใน 6 นาที (ทดสอบในห้องขนาด 20 ตร.ม.)

Philips รุ่น AC3854 มีขนาดตัวเครื่อง 718x310x310 มม. วัสดุตัวเครื่องเป็นพลาสติกอย่างดี ตัวเครื่องเป็นสีขาว พาดเทาตรงกลาง เป็นสีพื้นที่สามารถเข้ากับห้องโทนสีไหนก็ได้

มีดีไซน์ที่ยอดเยี่ยม เรียบหรู ดูทันสมัย การันตีด้วยรางวัล iF Design Award 2020 ไม่ว่าจะตั้งตรงไหนก็เข้ากันกับตัวห้อง เรียกได้ว่าเพียงเอาเจ้าเครื่องฟอกอากาศตัวนี้ไปวางไว้ภายในห้อง ห้องก็จะดูหรูหราขึ้นมาทันที !

https://images.philips.com/is/image/PhilipsConsumer/AC3854_50R1-KA1-pl_PL-001

รอบตัวเครื่องจะมีรูเล็ก ๆ จำนวนมาก เพื่อเป็นช่องให้ดูดลมเข้าเครื่องกรองจากทางด้านข้าง และเป่าอากาศซึ่งถูกกรองแล้วขึ้นด้านบนตัวเครื่อง

ในส่วนตรงฐานด้านล่างตัวเครื่อง จะมีช่องไว้ม้วนเก็บสายเมื่อไม่ได้ใช้ หรือระหว่างการยกเคลื่อนย้ายสายก็จะไม่เกะกะ นับว่าทุกจุดที่ Philips ดีไซน์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด!

ฝาหลังซึ่งครอบตัวกรองและเซนเซอร์ ก็ดีไซน์มาดีมาก ถอดง่าย ใส่ง่าย เพราะมีแม่เหล็กอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง ถ้าถอดแล้วจะใส่กลับไปใหม่ ก็แค่วางแล้วปิด แม่เหล็กก็จะดูดปิดให้อัตโนมัติ ไม่ต้องห่วงว่าจะใส่เข้า-ไม่เข้า

ช่องที่จับก็พอดี 4 นิ้วสำหรับยกตัวเครื่อง สะดวกมาก ๆ เวลาเลี้ยงลูก เพราะลูกย้ายห้องบ่อย แถมน้ำหนักเครื่องก็เบากว่าที่คิดไว้มาก ๆ มีน้ำหนักเพียง 9.4 กิโลกรัม ถ้าไม่ติดว่าโครงมันใหญ่ จะยกมือเดียวก็ยังไหว

ความดีเด็ดของเครื่องฟอกอากาศตัวนี้คือ แผ่นกรอง NanoProtect Series 3 เป็นแผ่นกรอง 3 ชั้น โดยมีชั้นแผ่นกรอง HEPA และผงถ่านกัมมันต์ ซึ่งสามารถกำจัดอนุภาคขนาดเล็ก 0.003 ไมครอน (PM 0.003)
โดย สถาบัน iUTA ซึ่งเล็กกว่า PM 2.5 ถึง 800เท่า และเล็กกว่าขนาดของไวรัส !

ผ่านการทดสอบกับ Life Virus สามารถกำจัดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ไวรัส H1N1
และแบคทีเรียได้ถึง 99.9% โดยสถาบันระดับโลก Airmid

สามารถกำจัดสารก่อภูมิแพ้จากสัตว์ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้และสปอร์เชื้อราได้ถึง 99.9%
ผ่านการทดสอบโดยสถาบันระดับโลก ECARF

สามารถถอดแผ่นกรองออกมาได้ง่าย ๆ เพราะไม่ได้มีตัวล็อคใด ๆ ทั้งสิ้น

แผ่นกรองด้านนอกหากสังเกตดี ๆ จะเห็นฝุ่นซึ่งมีอนุภาคขนาดใหญ่ติดอยู่ที่บริเวณผิวแผ่นกรอง

ด้านในเป็นแผ่นกรอง HEPA ที่คอยกรองอนุภาคที่มีขนาดเล็ก และแผ่นกรองผงถ่านกัมมันต์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการกรองกลิ่นและก๊าซ

โดยอายุการใช้งานของแผ่นกรองที่แนะนำคือประมาณ 36 เดือน หรือ 3 ปี ! (ขึ้นอยู่กับการใช้งานในสภาพอากาศ) ทั้งนี้วิธีการยืดอายุแผ่นกรองให้สามารถใช้ได้ยาวนานก็คือ นำเครื่องดูดฝุ่นมาดูดบริเวณแผ่นกรอง เพื่อทำความสะอาด โดยตัวเครื่องจะแสดงไฟรูปแปรงบนหน้าจอ เพื่อแนะนำให้เราทำความสะอาดแผ่นกรอง

ทั้งนี้ตัวเครื่องยังสามารถตรวจจับ แก๊ส และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ด้วยการทำงานของเทคโนโลยี AeraSence ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของ Philips สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศแม้เพียงเล็กน้อย ทำให้เสริมประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่อง ให้สอดรับการปรับเปลี่ยนโหมดที่เหมาะสมต่อสภาวะอากาศ และแสดงค่าตัวเลขที่วัดได้แบบเรียลไทม์ บนหน้าจอ LED พร้อมไฟวงแหวนบอกสถานะตั้งแต่ สีฟ้า > สีม่วง > สีแดง โดยค่าสถานะไฟสีฟ้าคือสภาพอากาศปกติ และสีแดงคืออันตราย

ซึ่งจากการใช้งานจริง เทคโนโลยี AeraSence มันสุดยอดมากครับ ผมนำเครื่องมาวางไว้ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทจากภายนอก พบว่าเครื่องมีการตรวจจับตลอด ตอนใช้ใหม่ ๆ ก็งง ว่าทำไมอยู่ดี ๆ เครื่องทำงานจนเสียงดังกว่าปกติ แต่พอมาดูที่หน้าจอถึงเข้าใจว่า เครื่องสามารถตรวจจับ แก๊ส หรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ หรือสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้ ก่อนที่ตัวเราจะรู้สึกถึงเสียอีก!

แผงหน้าจอควบคุมและแสดงผล

Filter Status ปุ่มแสดงสถานะของแผ่นเครื่องกรอง

ใช้สำหรับเช็คดูค่าสถานะแผ่นเครื่องกรองของเครื่อง

Display Switch ปุ่มเปลี่ยนดูสถานะสภาพอากาศที่สนใจ

สำหรับค่าสถานะสภาพอากาศซึ่งปรากฎอยู่บนจนจะมี 3 ค่าด้วยกันคือ

PM 2.5 = ค่าฝุ่น

Gas = ค่าแก๊สที่เป็นพิษ

lAl = ค่าสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ

ซึ่งหากมีค่าไหนเกินกำหนด จะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีฟ้า > สีม่วง > แดง และวงแหวนแสดงสถานะก็จะเปลี่ยนไปด้วย

โหมดการทำงาน

การทำงานของเครื่องมี 3 โหมดง่าย ๆ ด้วยกัน คือ

โหมด Auto , Turbo และ Sleep

โดยส่วนตัวแนะนำให้ตั้งไว้ที่โหมด Auto ครับ เพราะเครื่องจะทำงานตามสภาพอากาศอยู่แล้ว หากใช้โหมด Turbo จะเป็นการสิ้นเปลือง โดยใช่เหตุ เพราะเครื่องจะทำงานด้วยความเร็วในการดูดอากาศที่สูงที่สุด และเสียงการทำงานของเครื่องก็จะดังกว่าปกติ หากสภาพอากาศไม่ได้แย่มากจริง ๆ โหมดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครับ

ในส่วนของโหมด Sleep เมื่อกดโหมดนี้จะทำให้เครื่องทำงานเงียบลง เนื่องจากใช้ความเร็วในการดูดอากาศที่ต่ำ และจะปิดแถบไฟและแสงแสดงหน้าจอเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับ ซึ่งตามปกติในโหมด Auto เสียงเครื่องนี้ก็เงียบอยู่แล้ว แต่พอเป็นโหมด Sleep ขอบอกเลยว่าโหมดนี้เสียงเงียบมาก ๆ แทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเครื่องกำลังทำงานอยู่

ปุ่ม เปิด – ปิด ไฟ

เปิด-ปิดไฟนี้ต่างจากโหมด Sleep เพราะเครื่องก็ยังสามารถทำงานในโหมด Auto หรือ Turbo ได้ เพียงแต่หน้าจอจะไม่แสดงไฟสถานะต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการประหยัดไฟ หรือไม่ชอบแสงไฟสถานะเพราะแยงสายตา โดยสามารถใช้ควบคู่กันกับ แอพพลิเคชั่น Clean Home+ ของ Philips ในการสั่งการตั้งค่าต่าง ๆ ได้

แอพ Clean Home+ ความสะดวกสบาย ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว

ความโดดเด่นของเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อ Philips ไม่ได้มีเพียงแต่ตัวเครื่องอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังสามารถจัดการ การตั้งค่าต่าง ๆ ได้เพียงลงแอพพลิเคชั่น Clean Home+

สำหรับเครื่องฟอกอากาศของยี่ห้อ Philips รุ่น AC3854 ภายในแอพพลิเคชั่นมีลูกเล่นเยอะมาก ๆ ตั้งแต่ลูกเล่นพื้นฐานอย่าง เปิด-ปิดเครื่อง , ปิดไฟที่หน้าจอ , เปลี่ยนโหมด , ติดตามค่าสถานะแบบ Real Time และสามารถดูสถิติย้อนหลังได้ทั้งหมด

จนไปถึงการตั้งค่าเวลาเปิด-ปิดเครื่อง , การปรับค่าดัชนีพิเศษ (ค่าที่เฝ้าระวัง ส่วนตัวผมเลือกสารก่อภูมิแพ้ในร่ม) , การแจ้งเตือนคุณภาพอากาศเมื่อมีค่าสูงเกินกว่าที่ตั้งไว้ , บอกค่าสถานะของ Filter และสามารถสั่งซื้อ Filter ได้ ผ่านทางแอพพลิเคชั่นได้เลย

ภายในแอพพลิเคชั่นจะมีบทความเกี่ยวกับสุขภาพให้อ่านเป็นความรู้อีกด้วย

ทั้งนี้ต้องเชื่อมต่อเครื่องฟอกอากาศกับ Wifi ภายในบ้าน (ใช้สัญญาน 2.4 GHz) และตั้งค่าเล็กน้อยก่อนใช้งาน ซึ่งไม่มีอะไรยาก เพียงแค่ทำตามคำแนะนำ ไม่ถึง 3 นาทีก็เสร็จ

ข้อดีหลัก ๆ ในการใช้งานจริง คือ หากตั้งเครื่องไว้ในห้องนอนลูก แล้วเราไม่อยู่ห้อง ก็สามารถตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ หรือหากออกไปทำงานสั่งเปิดล่วงหน้าก่อนที่จะกลับถึงห้องเพื่อรอรับอากาศบริสุทธิ์ก็ได้ และหากติดตั้งให้ผู้สูงอายุ เราก็สามารถช่วยจัดการ การทำงานของเครื่องได้ หมดปัญหาคำถามยอดฮิตว่า

“เครื่องนี้มันใช้ยังไงลูก?”

ความประทับใจจากการใช้งาน

ความประทับใจแรกของผมคือ การเปิดเครื่อง แล้วปรากฎว่าค่า GAS พุ่งขี้นสูงถึง Level 3 !

ที่ค่า GAS พุ่งขึ้นไปถึงขนาดนั้นเนื่องจากผมจะไม่ค่อยได้กลับมาคอนโดซักเท่าไหร่ เพราะย้ายที่ทำงาน มาแล้วซักพักหนึ่ง จะกลับมาทีก็นาน ๆ ครั้ง ทำให้ห้องมีกลิ่นอับ จากการที่ไม่เปิดกระจกระบายอากาศ ทำให้อากาศไม่ถ่ายเถ ประกอบกับคอนโดพึ่งทาสีใหม่ (ใหม่นี่คือ 2 – 3 สัปดาห์แล้วนะ)

ซึ่งสีทาบ้านจัดเป็นสาร VOCs (สารระเหยที่เป็นพิษในอากาศ) ค่า GAS จึงพุ่งขึ้นไปถึง Level 3 ! และทำให้แสงที่ปรากฎบนเครื่องม่วงในทันที !!

ถ้าไม่มีเครื่องนี้ ผมก็คงไม่รู้ตัว เพราะจมูกคนเราเมื่อได้รับกลิ่นอะไรไปซักพัก มันจะเกิดการชินกลิ่น

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเราถ้าไม่มีเครื่องนี้นะหรอ? ก็สูดเข้าร่างกายมันไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้ตัวยังไงละ!

ผมนั่งดูเครื่องทำงานไปซักพัก เครื่องใช้เวลาประมาณ 5 นาที ในการกู้สถานการณ์ GAS Level 3 กลับมาให้เหลือเพียง Level 1 ซึ่งทั้งบรรยากาศ และกลิ่น มันรู้สึกดีขึ้นอย่างชัดเจน

กวาดห้องจนฝุ่นฟุ้ง ไม่ต้องห่วง แค่ 6 นาทีก็กลับมาปกติ

จากที่เกริ่นไปในตอนต้น Philips เคลมว่าสามารถกรองอากาศให้สะอาดได้ภายใน 6 นาที ในขนาดห้อง 20 ตร.ม. ก็นึกว่าแค่โม้เฉย ๆ ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็เก็บกวาดห้อง เพื่อจะรีวิวเจ้าเครื่องฟอกตัวนี้นั่นแหละ

แต่ปรากฎว่า ค่าฝุ่นพุ่งขึ้นไปถึง 124 และค่าสารก่อภูมิแพ้ในอากาศสูงมาก อาจจะด้วยเพราะผมปัดที่นอน และกวาดซอกเตียงและใต้เตียงที่ไม่ได้กวาดมานานมากกกกก ค่าก็เลยกระโดดไปถึงขนาดนั้น

ผลลัพธ์ก็ตามภาพที่เห็นเลยครับ เกรงว่าภาพถ่ายสวย ๆ เพียงอย่างเดียวไม่น่าเชื่อถือเลยแคปหน้าจอตรงรายละเอียดระยะเวลาที่ถ่ายด้วยเลยเพื่อความชัดเจนว่า เจ้าเครื่องนี้สามารถกรองได้ภายใน 6 นาทีจริง ๆ จากค่า PM 2.5 ที่สูงถึง 124 เหลือเพียง 29 โดยใช้เวลาเพียง 4 นาทีเท่านั้น!

ไม่ได้โม้ ~

เครื่องฟอกอากาศกับการเลี้ยงลูก

เครื่องฟอกอากาศค่อนข้างสำคัญกับลูกมากนะครับ เอาจริง ๆ ผมมีเครื่องฟอกอากาศแทบจะทุกห้องที่ลูกอยู่ ถ้าห้องไหนไม่มีผมก็จะยกเครื่องฟอกอากาศไปเปิด เพื่อลูก เพราะสภาพอากาศของเมืองเหนือ ยิ่งตอนเช้า ๆ ค่อนข้างบอกได้ยากว่านี่หมอกหรือควัน

บางวันอากาศดีไม่อยากเปิดแอร์ เลยเปิดหน้าต่าง แต่ปรากฎว่าบ้านข้าง ๆ ทำอาหารด้วยเตาถ่าน-ฟืนไฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะไม่กระทบเท่าไหร่สำหรับผู้ใหญ่ และเป็นวิถีชีวิตอันแสนปกติ แต่สำหรับลูกสิ่งที่ได้รับคือ ฝุ่นควันจากการประกอบอาหาร อย่างหนักก็คือ กลิ่นและสารบางอย่างจากการประกอบอาหาร ที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังแสบ… แล้วลูกน้อยของเราจะไปเหลืออะไร ?

หรือวันที่เลี้ยงรวมญาติต้องนั่งกินหมูกระทะกันในบ้าน ควันมันก็ไปไหนไม่ได้ เพราะเครื่องดูดควันกับห้องกินข้าว มันคนละห้องกัน ถึงแม้ว่าส่วนที่กินข้าวกับส่วนที่เลี้ยงลูกจะห่างกันพอสมควร และพอทนไม่ไหวก็ต้องย้ายห้องหนี แต่ก็ยังไม่วายพอได้รับผลกระทบอยู่บ้าง รวมถึงผู้ใหญ่เองก็ยังรู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันอึดอัดไปด้วยควันของหมูกระทะ! แต่ถ้าหากมีเครื่องฟอกอากาศ ก็พอที่จะช่วยทุเลาไปได้บ้าง (เครื่องฟอกอากาศไม่ใช่เครื่องดูดควัน ดังนั้นจึงควรทำให้อากาศภายในห้องสามารถไหลเวียนไปยังภายนอก ผมจึงขอใช้คำว่าทุเลา)

และที่สำคัญที่สุดคือ สารก่อภูมิแพ้ ในอากาศ ที่มาจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ซึ่งเป็นตัวที่จะทำให้ลูกเราไอ , จาม , มีน้ำมูก และเกิดอาการภูมิแพ้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นเพราะเมื่อเกิดแล้วรับมือได้ลำบากสุด ๆ

อากาศดี บรรยากาศดี สุขภาพดี ลูกย่อมอารมณ์ดี

ทำไมต้องซื้อ?

ตอนเลือกเครื่องฟอกอากาศ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดอยู่หลายวันว่าจะเอาเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนดี เพราะหลาย ๆ แบรนด์มักจะบอกว่าเครื่องกรองของตัวเองกรองได้ทั้งสารก่อภูมิแพ้ และก๊าซที่เป็นอันตรายเหมือน ๆ กันหมด

แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมาแสดงให้ผู้ใช้งานเห็นว่า “เครื่องกำลังกรองก๊าซและสารก่อภูมิแพ้อยู่นะ” เพราะมันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น และรับรู้ได้ค่อนข้างยากมาก หากไม่ได้มีปริมาณที่เยอะพอจนทำให้เราอึดอัดอย่างรู้สึกได้ชัด

….แต่ Philips ทำได้….

Philips สามารถทำให้สิ่งที่เรามองไม่เห็น กลายเป็นสิ่งที่มองเห็น ทำให้ผู้ใช้งานรับรู้ถึง “สุขภาพอากาศ” ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และเมื่อได้ใช้งานก็ยิ่งทำให้ตระหนักมากยิ่งขึ้นถึงภัยอันตรายที่นอกเหนือจาก PM 2.5

ยังมีสิ่งเล็ก ๆ มากมาย ทั้ง Gas ที่เป็นอันตรายและสารก่อภูมิแพ้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเหมือน PM 2.5 และอาจจะเป็นอันตรายที่เห็นผลเร็วกว่า ฝุ่น PM 2.5 ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่ภูมิต้านทานยังต่ำ

สำหรับผมถ้าเป็นเรื่องลูก ถ้าอยู่ในขอบเขตความสามารถที่จะหามาให้ลูกได้ ผมจะไม่ลังเลที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ… เพราะคงมีไม่กี่อย่างในโลกใบนี้ที่สุขภาพดี ๆ จะซื้อได้ด้วยเงิน…

สำหรับเครื่องฟอกอากาศ Philips รุ่น AC3854 ค่าตัวก็ไม่แพงครับ มีราคาเพียง 24,990 บาท ถ้าเทียบกับเทคโนโลยีวัดค่าสภาพอากาศภายในอาคารที่ดีที่สุดในตอนนี้ และขีดความสามารถของตัวเครื่องที่สามารถรองรับขนาดห้องถึง 130 ตร.ม. ก็นับว่าสมเหตุสมผล

ถ้ามีเงินเพียงพอและกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศที่ดีที่สุดสำหรับห้องขนาดประมาณนี้ Philips รุ่น AC3854 ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดี และรับประกันเลยว่าถ้าซื้อมาแล้ว จะรับรู้ได้ถึงความคุ้มค่า ทุกบาท ทุกสตางค์ที่เสียไปครับ 🙂

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณน้องมิก และแม่กิ๊ก ที่ร่วมทดสอบความสดชื่นของอากาศในรีวิวนี้ด้วยครับ อิ_อิ

สำหรับท่านที่สนใจ เครื่องฟอกอากาศยี่ห้อ Philips รุ่น AC3854 สามารถสั่งซื้อหรือติดตามโปรโมชั่นได้ตามช่องทางดังนี้ครับ

JDCentral
Shopee
Lazada
Philips E-Shop
Powerbuy Online
Homepro Online
Central Online
Robinson Online

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

https://www.philips.co.th/c-p/AC3854_25/series-4000i-philips-air-purifier-series-4000i#reviews


ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s